วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มหายานยุคต้น

มหายานยุคต้น

                มหายานยุคต้นเป็นยุคที่มีแต่คำสอนทั่วไป หรือแนวคำสอนในลักษณะแปลกใหม่  ซึ่งยังหา              การรับรองอย่างมั่นคงมิได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหายานยังถือว่าคำสอนของฝ่ายตนนั้นได้รับการถ่ายทอดมาโดย ตรงจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า  และได้รักษาไว้ในนาคะภพอย่างดี  จนถึงอายุพุทธศาสนาผ่านไปถึง  ๕๐๐  ปี  จึงนำมาเผยแพร่เพื่อให้พระพุทธศาสนา รุ่งเรืองอีกต่อไป  โดยคำสอนในยุคต้นนี้แยกออกเป็นประเด็นใหญ่ เช่น
๑.  อุดมการณ์แห่งพระโพธิสัตว์
                พระโพธิสัตว์ตั้งปณิธานมุ่งเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์  ถือว่าเป็นอุดมคติของ              พระโพธิสัตว์  ซึ่งจะต้องตั้งไว้ในใจ ดังนี้
๑.      พระโพธิสัตว์ต้องโปรดสัตว์ทั้งหลายให้หมดไป
๒.    พระโพธิสัตว์ต้องละกิเลสทั้งหลายให้หมดไป
๓.     พระโพธิสัตว์  ต้องศึกษาอบรมธรรมทั้งหลายให้เจนจบ
๔.     พระโพธิสัตว์ต้องบรรลุพุทธภูมิให้จงได้

๒.  บารมีธรรมของพระโพธิสัตว์
                ในทางมหายาน  คัมภีร์สมัยหลังจำนวนบารมีได้เพิ่มขึ้น  จาก  ๖  เป็น  ๗  และในที่สุด  เป็นบารมี  ๑๐  ประการ คือ
                ๑.  ทานปารมิตา (ทานบารมี)  คำว่า ทาน  แปลว่า  การให้ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์จะต้องบำเพ็ญความดี  คือ การบริจาคสิ่งของตน  คัมภีร์พุทธวงศ์ดังกล่าวเปรียบลักษณะการให้ไว้ว่า จะต้องเหมือนกับหม้อน้ำที่มีน้ำเต็มถูกคว่ำลง  แสดงให้เห็นว่า  การให้หรือการบำเพ็ญทานบารมีจะต้องทำด้วยการบริจาคหมดไม่มีเหลืออีก  ดังนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์เมื่อจะให้ทาน  จะต้องพิจารณาดังนี้
                ๑.  ของที่จะให้ต้องเป็นของที่ดีงาม  ต้องไม่ให้ของที่เป็นศาสตรา ของหลอกเล่น  ของไม่เป็นประโยชน์ที่จะนำไปสู่ความประเภท
                ๒.  เมื่อจะให้ทานต้องให้แก่ผู้ต้องการ  แม้ไม่ได้ขอก็ให้ก่อนที่ผู้ต้องการนั้นจะขอ  ต้องเป็นผู้สละให้อย่างจริง ๆ ต้องรู้จักให้พอควรแก่ของที่มีอยู่  ต้องไม่ให้อาหารและน้ำเกินประมาณแก่ผู้ขอที่เจ็บป่วย  ให้ของควรแก่ของที่มีอยู่  ต้องไม่ให้อาหารและน้ำเกินประมาณแก่ผู้ขอที่เจ็บป่วย  ให้ของควรแก่คฤหัสถ์แค่คฤหัสถ์  ให้ของควรแก่ของแกบรรพชิตแด่บรรพชิต  ไม่ได้ให้เพราะถือมงคล  ไม่ได้ให้ด้วยหวังผล  เมื่อจะเป็นผู้ยิ้มแย้มเจรจาไพเราะกับผู้ขอก่อน  ไม่ดูถูกผู้ขอ  ถ้าจะให้ลูกเมียบ่าวไพร่  ต้องให้เขายินยอมก่อนแล้วจึงให้ เป็นต้น
                ๒.  ศีลปารมิตา (ศีลบารมี)  ศีลที่กล่าวถึงในคัมภีร์มหายาน  แบ่งออกได้เป็น  ๓  ประเด็นด้วยกัน คือ
                ๑)  กุศลกรรมบถ
                ๒)  ศีลที่บำเพ็ญเมื่อเป็นคฤหิโพธิสัตว์
                ๓)  ศีลที่บำเพ็ญเมื่อออกบวชสละบ้านเรือน
                คัมภีร์ส่วนมากเมื่อกล่าวถึงการบำเพ็ญศีล  มักกล่าวถึงกุศลกรรมบถ  ๑๐  เป็นส่วนใหญ่  เพราะย่อมครอบคลุมรายละเอียดความประพฤติได้ทั้งกาย วาจา และใจอยู่แล้ว
                อย่างไรก็ดีความคิดของมหายานที่ขยายออกไปต้องการเน้นประเด็น   เช่น   การทำทาน                   การช่วยเหลือผู้อื่นก็ย่อมจะทำให้การบำเพ็ญปารมิตานี้มี ข้อกำหนดในส่วนนั้นอยู่ด้วย  จึงได้เกิดการบำเพ็ญปารมิตาของคฤหิโพธิสัตว์    (ดูรายละเอียดในศีลของคฤหิโพธิสัตว์ )  และในที่เมื่อกลับนิยมให้                   พระโพธิสัตว์ออกบรรพชา  จึงได้สร้างศีลขึ้นมาในทำนองเดียวกับสิกขาบทในพระปาติโมกข์ของพระภิกษุ
                    ๓.   กษานติปารมิตา  (ขันติบารมี )  พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญความอดทนอดกลั้นในกรณีต่าง ๆแต่เดิมปารมิตานี้มิได้มีความสำคัญมากนัก  ต่อมาในคัมภีร์รุ่นหลัง  เช่น  สมาธิราชสูตร  เน้นเรื่องกษานติปารมิตามาก  เพราะกษานติเป็นพื้นฐานสำคัญในอันที่จะให้จิตเป็นสมาธิหรือบำเพ็ญธยานปารมิ ตาได้๑๓
คัมภีร์ธรรมสังเคราะห์ได้จำแนกกษานติปามิตาเป็น  ๓ ประเภทด้วยกันคือ
๑)      ธรรมนิยานกษานติ  การยอมรับความจริงของสภาวะด้วยปัญญา
๒)    ทุกขาธิวาสนากษานติ  อดกลั้นต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นในตน
๓)     ปโรปการธรรมกษานติ   อดทนในการที่จะประกอบกิจการช่วยเหลือผู้อื่น

กษานติ  ๒  ประการหลังชัดเจนอยู่แล้ว  กษานติประเด็นแรกถือเป็นกษานติอย่างสูงสุด  เพราะต้องใช้ญาณทัสสนะอันถูกต้องจึงจะมองเห็นธรรมะต่าง ๆตามความเป็นจริงได้  พระโพธิสัตว์                   ผู้บำเพ็ญกษานติประเภทนี้จะศึกษาธรรมะอย่างละเอียดลอออันจะก่อให้เกิดความ เสื่อมใสในพระคุณของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์  รู้เหตุรู้ผลในทุกสิ่งทุกอย่าง   กษานติประเภทนี้แบ่งชั้นเป็น  ๓  ประเภทด้วยกัน ๑๕ คือ
   ๑.   โฆษานุคา   กษานติ  พระโพธิสัตว์ได้ฟังคำสอนจากผู้ใดผู้หนึ่งแล้วยอมรับคำสอนนั้น
   ๒.  อานุโลมกี  กษานติ  พระโพธิสัตว์บำเพ็ญตนตามพระธรรมวินัยและกระทำทบทวนตามคำสอนเหล่านั้นได้
   ๓.  อนุปัตติกธรรม    พระโพธิสัตว์เกิดชญานในธรรมและยอมรับว่าธรรมทั้งหลายมิได้มิการอุบัติขึ้น
   อานุโลมกีกษานตินี้ในทศภูมิสูตรว่า  เกิดขึ้นในภูมิที่ ๖  ส่วนอนุตปัตติกษานติเกิดในภูมิที่  ๘  ลักษณะ ของกษานติในชั้นหลังเป็นเสมือนการได้บรรลุฐาณะอย่างหนึ่งมากกว่าจะเป็นการ บำเพ็ญ      กษนติ  คือ     ความอดกลั้น  อดทนอย่างธรรมดา   โดยส่วนใหญ่แล้ว  กษานติชนิดอื่นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญในภูมที่  ๓
  ๔.  วิรยปารมิตา  ( วิริยบารมี )  วิรยะ  หมายถึง  ความพากเพียร  ความมีพลังที่จะบำเพ็ญธรรมเพื่อให้บรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า  เป็นปารมิตาที่สำคัญในอันที่จะก่อพลังในการบำเพ็ญธรรมของพระโพธิสัตว์ถือ เป็นธรรมรากฐาน   จนกระทั้งกล่าวว่าที่ใดมีวิรยะที่นั้นก็มีโพธิสัตว์แล้ว  กล่าวว่าเป็นเหตุที่เป็นประธานของธรรมอันเป็นเป็นกุศลทั้งหลายของพุทธการก ธรรม   พุทธการกธรรม  บางครั้งก็เรียกว่า    โพธิปริปาจนธรรม” ซึ่งหมายถึง  ธรรมสำหรับบ่มเพาะภูมิ  เป็นธรรมที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ปรารถนาพุทธภูมิจะต้องมุ่งบำเพ็ญ  เพื่ออบรมบ่มให้พระพุทธภูมิ  ถึงความแก่รอบจึงจะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัม พุทธเจ้า
        ความคิดในเรื่องการบำเพ็ญปารมิตานี้ก่อให้เกิดการเรียกพระโพธิสัตว์ว่าเป็น วีรบุรุษ  เพราะเป็นว่าผู้มีความวิริยะอุตสาหะในการที่จะทำในการต่างๆ  โดยไม่สนใจตนเองว่าเป็นอย่างไร  วีรยะมี  ๓  ประการด้วยกันคือ
                ๑.   สัมมนาวีรยะ           ความเพียรแรกเริ่ม
                 ๒.   ประโยควีรยะ     ความเพียรในการบำเพ็ญ
                 ๓.    ปรินิษฐาวีรยะ  ความเพียรที่นำไปสู่ความสูงสุด
            การแบ่งวีรยปารมิตา    ในลักษณะนี้    แบ่งตามช่วงเวลาของการบำเพ็ญจรรยาของพระโพธิสัตว์  เอช.  ดายัลได้รวบรวมความคิดเรื่องวีรยปารมิตานี้ไว้เป็น  ๓  ประการด้วยกัน  คือ
            ๑.  ความเพียรในการบำเพ็ญความดี   พระโพธิสัตว์เป็นผู้ตั้งพระทัยมั่นในอันที่จะไม่ประพฤติในทางชั่วร้ายไม่พอ ใจต่อคุณความดีที่ทำได้เพียรเล็กน้อย   แต่ตั้งพระทัยจะทำความดีให้มากเท่ากับพระโพธิสัตว์ในอดีต    มีความพากเพียรที่จะทำความดีอยู่เป็นนิจ
           ๒.   ความในการศึกษา  (ศิกฺษาวีรฺย  )  คำว่า  ศึกษาในที่นี้หมายถึงไตรสิกขา   และการหาความรู้อื่น ๆ  ที่จะเป็นศิลปะศาสตร์  ) แต่เดิมในพุทธศาสนามหายานมิได้สนใจเรื่องนี้มากหนัก  แต่ต่อมามีการกล่าวพระโพธิสัตว์ต้องเป็นผู้แตกฉานในคำสอนของพระพุทธเจ้า    และมีการกล่าวถึง  วิทยาสถาน  ๕  ประการ  คือ   พุทธศาสน  ,ตรรกศาสตร์หรือวิภาษวิธี ,  ไวยากรณ์ ,  แพทย์  และศิลปหัตถกรรมวิชาเหล่านี้จะช่วยพระโพธิสัตว์ในอันที่จะกลับใจคนให้มาถือ พุทธศาสนา  รักษาป่วยและสามารถช่วยเหลือผู้อื่นทางวัตถุได้  พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญศึกษาวีรยะจำต้องตั้งใจไม่ย่อท้อ  และเรียนอย่างมีสมาธิ  เพื่อที่จะให้มีความรอบรู้ดังกล่าว
         ๓.  ความเพียรในการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น  (สตฺตฺวารถกฺริยาวีรฺย )   พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญสัตตวารถกริยาวีรยะเป็นผู้มุ่งมั่นในอันช่วยเหลือผู้ อื่น   บากบั่นช่วยเหลือจนกระทั่งลุล่วง  ไม่กระทำการใด ๆ ครึ่ง ๆกลาง ๆ ไม่เกรงกลัวอุปสรรคและภยันตราย  เป็นผู้เห็นผู้อื่นเสมอตนและเห็นแก่ผู้อื่นก่อนตนเองเมื่อพระโพธิสัตว์ทรง พิจารณาเห็นดังนั้น  ก็มีความต้องการช่วยเหลือผู้อื่นแม้สิ่งนั้นจะยากเย็นเพียงไรก็ตาม
       พระโพธิสัตว์ผู้มีความเพียรดังกล่าว   ย่อมสามารถบำเพ็ญธรรมะโดยไม่เหนื่อยหน่ายมีความสุขในอันจะบำเพ็ญธรรมะเหล่า นั้น    จึงทำให้พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพลังในอันที่จะทำความดีอยู่เสมอลักษณะเช่นนี้ เป็นลักษณะที่เติมจากวิริยะของคัมภีร์ดั้งเดิมซึ่งมีความหมายเป็นไปในทาง ความเพียรเพื่อเผากิเลสโดยแง่เดียว
      ๕.  ธยานปารมิตา  (ธยานบารมี)   ธยาน   หมายถึงหมายถึงการตั้งมั่นของจิต,  สภาพที่ยังมนัส  คือ   อัธยาตมะให้ทรงไว้ซื่อ ว่า  ธยานะ คำว่า  ธยาน  นี้ในคัมภีร์มหายานใช้เท่ากับ  คำว่า สมาธิ  เมื่อพิจารณาดูจากความหมายการบำเพ็ญยานปารมิตาจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้สละบ้าน เรือน นับเป็นการแยกพระโพธิสัตว์ออกจากสังคมในปารมิตานี้
       การบำเพ็ญยานปารมิตาในพุทธศาสนามหายาน  หมายถึง  การบำเพ็ญสมาธิต่างๆเพื่อขจัดกิเลสเพื่อให้ได้บรรลุถึงความเป็นจริง  ในกรณีนี้  เอช.  ดายัล (H.  Dayal )  ได้กล่าวถึงการบำเพ็ญยานไว้เป็น  ๓  ขั้นตอนด้วยกัน  คือ
       ขั้นเตรียมตัวเพื่อบำเพ็ญ  ผู้บำเพ็ญจะต้องออกบวช  และแสวงหาความวิเวกโดยการเจริญพรหมวิหาร  ๔
    ขั้นการบำเพ็ญธยาน   ได้แก่  รูปธยาน  ๔  อรูปธยาน  ๔  หรือ  สมบัติ  ๔  และนิโรธสมาบัติ  ซึ่งเหมือนกับการบำเพ็ญยานในคัมภีร์ดั้งเดิม
                                ขั้นการบำเพ็ญธยาน  หรือสมาธิของมหายาน   คัมภีร์มหายานได้เพิ่มสมาธิ   มีชื่อต่าง ๆมากมาย เช่น  วัชโรปมา  รัตนมุทรา  ประทีปะเตโชวตี  ฯ ลฯ    สมาธิเหล่า นี้เป็นทางไปสู่ความหลุดพ้นรวมทั้งทำให้มีฤทธิ์อำนาจ  เช่น  เหาะเหินได้  ช่วยบุคคลผู้เรือแตกได้สามารถทำให้เป็นหนุ่มอยู่เสมอ   ฯ ล ฯ
     ธยานปารมิตาของมหายานจึงกลายเป็นสิ่งที่ลึกล้ำยากแก่การอธิบาย  เป็นของที่ผู้สละบ้านเรือนเท่านั้นอาจทำได้  อันเป็นข้อขัดอุดมคติทางสังคมของมหายาน  ความข้อนี้แสดงให้เห็นได้ชัดลึกอีกขั้นหนึ่งว่า  ธยานปารมิตา  ก็คือ หน่วยสมาธิพรหมจรรย์ดั้งเดิมนั้นเอง
๖.  ปรัชญาปารมิตา (ปัญญาบารมี)  คำว่า ปรัชญา  มีความหมายเช่นเดียวกับ คำว่า ปัญญา  ในภาษาบาลี  คือ หมายถึงความรู้อย่างยอดเยี่ยม  เป็นความรู้ที่รู้สึกซึ้ง  อันจะก่อให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริงหรือความรอบรู้  ความหยั่งรู้เหตุผล  ความภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง  และได้ทำให้แจ้งในบุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา  พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมแสวงหาวิชาความรู้  พอใจในการอบรมจิตให้ประกอบด้วยปัญญาอยู่เสมอ  โดยไม่เลือกว่าให้ความรู้เป็นคนชั้นใด  ท่านเปรียบน้ำใจของพระโพธิสัตว์ต่อการขวนขวายในปัญญาว่า  เหมือนภิกษุผู้บิณฑบาตรับภัตตาหารเพื่อยังชีพ  ย่อมไม่เลือกตระกูลสูง ต่ำ ไพร่ ผู้ดีของผู้ใส่บาตรฉะนั้น
ในพุทธศาสนามหายาน  ได้เพิ่มอีก  ๔  ประการ  ถือเป็นปารมิตาเสริม  เพื่อให้ครบกับภูมิธรรม  ดังขยายภูมิธรรมที่อธิบายในทศภูมิสูตรเพื่อความเข้าใจดังต่อไปนี้
๑.     ประมุทิตาภูมิ  คือ  ขั้นแห่งความยินดี  บันเทิงทั่ว  พระโพธิสัตว์จะมีความยินดีที่ได้เห็นเองเป็นผู้มุ่งต่อโพธิ  และบำเพ็ญประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์  มีความเคารพต่อการสักการบูชาพระพุทธเจ้ามีความคิดที่จะรักษาคุ้มครองพระธรรม และดำเนินตามพระธรรมของพระตถาคต  ในภูมินี้เป็นการเริ่มต้นความคิดของพระโพธิสัตว์โดยตรง  คือ  มุ่งบรรลุโพธิและมีเมตตาที่ช่วยเหลือสัตว์โลกเป็นหลัก  ในภูมินี้มีการบำเพ็ญทานบารมีเป็นหลักเพื่อขจัดความมัจฉริยะ
๒.  วิมลาภูมิ  คือปราศจากมลทิน  หมายถึง  มลทินแห่งความเป็นผู้ทุศีล  มีความเอื้อเฟื้อ  ไม่เห็นแก่ตัว  เป็นผู้ประพฤติแต่สัมมาจริยา  ในภูมินี้มีการบำเพ็ญศีลบารมีเป็นหลัก
๓.   ประภาการีภูมิ  คือ  ขั้นแห่งผู้มีรัศมีแสงสว่าง  พระโพธิขั้นนี้จะมีหน้าตาผ่องใสเป็นประกาย  มีความเบื่อหน่ายต่อโลกียวิสัยอย่างมั่นคง  มีความบากบั่นอดทน  เพื่อค้นหาความจริงในสิ่งทั้งหลาย  รวมถึงอุทิศตนเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยอย่างจริงจัง  ในภูมินี้มีการบำเพ็ญขันติบารมีเป็นหลัก
๔.   อรรถจีสมภูมิ  คือ  ขั้นสุกสว่าง  เปล่งรัศมีออกไป  พระโพธิสัตว์ขั้นนี้มีความเพียรกล้าในการทำลายความคิดที่ชั่วร้ายออกหมด  คือ  ไม่ถือตัวถือตน  และเพียรกล้าในการบำเพ็ญคุณประโยชน์ต่อผู้อื่น  ในภูมินี้มีการบำเพ็ญวิริยบารมีเป็นหลัก
๕.   สุทุรชยาภูมิ  เอาชนะได้อยากพระโพธิสัตว์ขั้นนี้ต้องทำกิจที่ ยาก  ๒  อย่าง  คือเป็นผู้สั่งสอนสัตว์โลกและบำเพ็ญจิตของตนให้แน่วแน่  ในภูมิมีการบำเพ็ญฌานบารมีเป็นหลัก
๖.    อภิมุขีภูมิ  หมายความว่า  มีหน้ามุ่งไปสู่ พระโพธิสัตว์ขั้นนี้ต้องกล้าเชิญหน้ากับโลกแห่งความเป็นจริงตลอดเวลา  มีความเข้าในในหลักปฏิจจสมุปบาท  ในภูมินี้มีการลำเพ็ญปัญญาบารมีเป็นหลัก
                          ๗.  ทูรังคมาภูมิ  แปลว่าไปไกล  ไปได้ยาก พระโพธิสัตว์ขั้นนี้ต้องใช้สติปัญหามาก  มุ่งหาอุบายโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการช่วยเหลือสรรพสัตว์  ในภูมินี้มีการบำเพ็ญอุปายบารมีเป็นหลัก
                         ๘.  อจภูมิ  แปลว่า  ผู้ไม่หวั่นไหว  พระโพธิสัตว์ขั้นนี้มีความไม่หวั่นไหว  เรรวน  มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง  และย่อมรู้ตัวเองว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิ์สัตว์ภูมินี้ย่อมไม่ตกไปสู่ที่ต่ำอีกเป็นผู้เข้าถึงแดนพุทธเกษตร   ในภูมินี้มีการบำเพ็ญปณิธานบารมีเป็นหลัก
                        ๙.  สาธุตีภูมิ  แปลว่า  ผู้มีความคิดที่ดีงาม  เป็นผู้ปราศจากอคติ  มีการบำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกทุกถ้วนหน้า  พระโพธิสัตว์ขั้นนี้มีปัญญาสมบูรณ์แล้ว  รู้ความคิดความปรารถนาทั้งหมดของมวลมนุษย์  สามารถสั่งสอนสรรพสัตว์ให้เข้าถึงนิพพานได้  ในภูมินี้มีการบำเพ็ญพลบารมีหลัก
                       ๑๐.  ธรรมเมฆา  หมายเอา ความสูงสุดของธรรม  พระโพธิสัตว์ขั้นนี้มีอิสรเสรีไม่ผูกติดกับสิ่งทั้งปวงมีสมาธิและธารณีอยู่ เต็มเปี่ยม  ประดุจเมฆที่ล่องลอยอยู่เต็มบนท้องฟ้าอย่างเสรี  ถึงฐานะอันยอมเยี่ยมเท่าเทียบกับพระพุทธเจ้า  ได้รับอภิเษกจากพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นพระพุทธเจ้าและสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้
                ดังจะเห็นได้ว่า  ภูมิธรรม ทั้ง  ๑๐  ประการนี้  มีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับปารมิตาทั้ง  ๔  ที่เสริมเข้ามาเพื่อให้ครบกับภูมิธรรมที่กำหนดไว้  ดังนั้น  ลักษณะของปารมิตาทั้ง  ๔  นี้เป็นเรื่องคุณสมบัติมากกว่าจะเป็นเรื่องของการบำเพ็ญความดี  และ มิได้มีความสำคัญเสมอกับ ๖ ประการข้างต้น ดังนี้
                ๗.  อุปายเกาศัลยปารมิตา (อุปายบารมี)  หมายถึง  ความเป็นผู้ฉลาดในการจัดการเรื่องราวต่าง ๆ รวมทั้งความรู้ที่แตกฉาน  การมีสมบัติดังกล่าวก็เพื่อจะให้พระโพธิสัตว์มีความสามารถในการการชี้บอก สั่งสอนชาวโลกผู้มีพื้นฐานต่าง ๆ กันไปให้สามารถเข้าถึงธรรมที่แท้ได้  ดังนั้น  การจะเป็นผู้สามารถสั่งสอนให้เข้าใจนั้น  ต้องมีอุปายโกศลอันประกอบไปด้วย
             ๑)  สังคระหวัสดุ (สังคหวัตถุ)  ได้แก่  ทาน  ปริยาวาทิตา  (ปริยวัทย)  อรรถจรรยา (อรรถกริยา)  สมานารถตา
                     ๒)  ประติสัมวิท (ปฏิสัมภิทา)  ได้แก่ ธรรมประติสัมวิท  อรรถประติสัมวิท นิรุกติประติสัมวิท  ประติภานประติสัมวิท
                     ๓)  ธารณี  หมายถึง  มนต์ที่ใช้ท่องบ่นคุ้มกัน  พระโพธิสัตว์ผู้สั่งสอนเทศนาผู้อื่นต้องเป็นผู้ปราศจากภัยอันตราย  ธารณีจะเป็นสิ่งที่คุ้มกันพระโพธิสัตว์ให้ปลอดภัย
                พระโพธิสัตว์ผู้มีสมบัติทั้ง  ๓  ประการนี้ครบ  ย่อมจะเทศนาสั่งสอนให้บรรลุจุดหมายตามที่ประสงค์เพราะมีทั้งคุณธรรมที่เข้า กับผู้อื่น  มีความสามารถแตกฉาน  และมีมนต์ป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ
                ๘.  ประณิธานปารมิตา  (ปณิธานบารมี)  หมายถึง  ความตั้งใจอย่างแน่วแน่ต่อหลักการหรืออุดมการณ์ของตนความตั้งใจมั่นที่จะ เป็นพระพุทธเจ้านั้น  ย่อมปรากฏในทุกขั้นของการบำเพ็ญตนเป็น          พระโพธิสัตว์  ความต้องการเน้นเป็นเหตุให้ยกประณิธานขึ้นเป็นความดีสูงสุด  ปณิธานบารมีของพระโพธิสัตว์  ที่ตั้งไว้มี  ๔  อย่าง  คือ
                      ๑)  เราจะต้องโปรดสัตว์ทั้งหลายให้หมดสิ้น  จะสัตว์เหล่านั้นให้พ้นทุกข์ พระโพธิสัตว์กำหนดรู้ทุกข์แห่งตนแล้ว  เอาตนเป็นเครื่องเปรียบเทียบ  ย่อมเห็นชัดแจ้งว่าสัตว์เหล่าอื่นก็เต็มไปด้วยทุกข์เช่นกัน  เหมือนคนไข้ที่อยู่ในโรงพยาบาลเดียวกัน  คือ  โลกนี้
                      ๒)  เราจะต้องทำลายกิเลสให้หมดสิ้น  และจะช่วยผู้อื่นให้ทำลายกิเลสด้วย  เหมือนคนเป็นโรคอยู่ด้วยกัน  เห็นพิษร้ายของโรคแล้ว ช่วยการทำลายโรคนั้นเสีย
                      ๓)  เราจะต้องศึกษาพระธรรมทั้งหมดให้เจนจบ  และช่วยให้ผู้อื่นได้ศึกษาด้วย  เปรียบเหมือนการศึกษาวิธีป้องกันและวิธีจำกัด  ใครศึกษาล่วงหน้า ไปก่อน ต้องพยายามช่วยผู้อื่นที่เริ่มศึกษาภายหลัง
                      ๔)  เราจะต้องบรรลุพุทธภูมิให้จงได้  และจะช่วยเหลือผู้อื่นให้บรรลุด้วยเปรียบเหมือนผู้มุ่งการหายโรคด้วยตนแล้ว  ปรารถนาช่วยเหลือผู้อื่นให้หายโรคด้วย
                ๙.  พลปารมิตา (พลบารมี)  คือ ความสามารถในการเข้าใจในธรรมตามเหตุผลและความเข้าใจในธรรมที่ตนเองอบรม บำเพ็ญมา  หมายถึง กำลังความแน่วแน่ในเรื่องทั้งตั้งใจไว้  รวมถึงการที่ได้ฟังพระสัทธรรมแล้วมีโยนิโสมนสิการตามแล้วก็ได้บรรลุอนุตตร โพธิญาณ  แล้วนำเอาหลักธรรมเพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ให้เข้าถึงความจริง
                ๑๐.  ชญาณปารมิตา (ชญาณบารมี)  หมายถึง  ญาณอันเกิดแต่บารมี  ๖  เป็นปัญญาระดับสูงเป็น โลกุตตรปัญญา หรือญาณหยั่งรู้แจ้งในสรรพสิ่ง
                บารมี ๔  ประการนี้  สงเคราะห์เป็นปัญญาบารมีทั้งหมดดังนั้น  บารมีที่สำคัญจึงเหลือเพียง  ๖  ข้อข้างต้นเท่านั้น
                ดังนั้น  จึงสรุปได้ว่าบารมีในพุทธศาสนามหายานแต่เดิมมี  ๕ ประการ  และค่อย ๆ พัฒนาได้รับการเพิ่มจำนวนเป็น  ๖  เป็น  ๗  และในที่สุดเพิ่มเป็น  ๑๐  ในบารมี  ๑๐  บารมี  ๖  ประการแรกเป็นบารมีหลัก  อีก  ๔  ประการหลังเป็นบารมีเสริม  สาเหตุที่เกิดการเพิ่มเติมจำนวนบารมีในพุทธศาสนามหานั้น  สันนิฐานต่างกันเป็นสองทาง คือ
๑.     ได้อย่างมาแต่บารมี  ๑๐  ในพุทธศาสนาเถรวาท
๒.    เป็นการเพิ่มเติมขึ้นเพื่อให้เข้ากับระบบนับสิบ

นั้นไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง  ท่านกล่าวว่าสาเหตุของการเพิ่มจำนวนบารมีมากขึ้นในภายหลังเป็นเพราะ วิวัฒนาการความคิดเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ของมหายานเอง  ที่ภายหลังแนวคิดเรื่องพระโพธิสัตว์มีอิทธิพลที่สำคัญถือเป็นแนวคิดหลัก ของมหายาน  เมื่อพิจารณาดูปารมิตาของมหายานแล้วจะเห็นว่าปรัชญาปารมิตานั้นได้แก่  ศูนยตา  ประเด็นที่ขาดหายไป  คือ  ปัญญาความเฉลียวฉลาดความมีปัญญาในอันจะสอนผู้อื่นและลักษณะสัพพัญญูขาดหาย ไป  จึงจำเป็นต้องนับเอาอุปายเกาเข้าเป็นปารมิตา  ปณิธานเดิมเข้ามา  เพื่อเน้นความตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น  ด้วยระยะหลังพระโพธิสัตว์ได้พัฒนาไปในลักษณะของเทพเจ้า  พลและ ชญาณ  อันเป็นคุณสมบัติสุดท้ายของพระพุทธเจ้า จึงเติมเข้ามาเพื่อให้พระโพธิสัตว์มีอำนาจเท่าเทียมกับพระพุทธเจ้า  เพื่อจะได้มีอำนาจช่วยผู้อื่นได้  แม้ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าดังนั้น  พุทธศาสนามหายานยอมรับบารมี ๖  ของเถรวาทสรวาสสติวาทิน และต่อมาเพิ่มจำนวนเป็น  ๗  และ  ๑๐  ตามลำดับ  เพื่อให้ครบคุณสมบัติของพระพุทธเจ้ามากกว่าเพื่อแสดงการบำเพ็ญธรรมะ

๓.  การเคารพบูชาโพธิสัตว์  กามเทวี และอื่น ๆ
                ในยุคพราหมณะ พราหมณ์ได้สร้างพระพรหมที่เรียกว่า ปรพรหม  ให้ไม่มีเนื้อมีตัวมีตนนั้น               พระพรหมมีลักษณะเป็นจิต  และจิตก็ไม่มีรูปร่างอย่างมนุษย์เป็นนามธรรม  เมื่อเทพเจ้าคือพระพรหมมีลักษณะเป็นจิต  การบวงสรวงบูชาเพื่อขอให้อำนวยผลประโยชน์ต่าง ๆ ตามวิสัยของพวกปุถุชนย่อมไม่สามารถกระทำได้  ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัส ก็ไม่เป็นที่ชอบใจพอใจของ  คนทั่วไปเท่าใดนัก  คนไม่เห็นด้วย เพราะไม่สามารถจะบูชาปรพรหม ซึ่งเป็นสภาวธรรมนั้นได้  ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
                ดังนั้น  เพื่อให้ตรงกับความประสงค์และรสนิยมของประชาชน  พราหมณ์จึงดัดแปลงแก้ไขเรื่อง พรหมอีกนิดหน่อย  แก้ไขจากพรหมมาเป็น  อปรพรหม  อปรพรหม ก็คือพรหม หรือ อิศวร  เป็นเทพเจ้าที่มีตัวมีตน  ไม่เป็นนามธรรมเหมือนอย่างปรพรหม  สามารถจะอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้เคารพบูชาได้  พวกพราหมณ์นั้นฉลาดปรับปรุงพระเจ้าให้ทันสมัยใหม่อยู่เสมอ  แล้วจึงประกาศแก่ประชาชนว่า  ความจริงพระพรหมนั้นมีตัวตนและมีถึง  ๔  หน้า ๘  กร  สามารถมองดูทิศทั้ง  ๔  ได้ในเวลาเดียวกัน  และดูความเป็นไปของชาวโลกได้ทุกหนทุกแห่งพร้อมกันได้  ช่วยชาวโลกได้มากกว่า  เมื่อพระพรหมมีตัวตน  และยังมีถึง  ๔  หน้าอีก  แถมยังไม่มีภรรยา  ไม่ยุ่งเกี่ยวข้องด้านกามารมณ์เหมือนพระอินทร์  ประชาชนต่างก็นิยมชมชอบพอใจ  แนวความคิดของพราหมณ์ที่สร้างพระพรหม เป็นที่พอใจของประชาชนนี้เอง  ทำให้ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดูยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลเหนือจิตใจของชาวอินเดียอย่างไม่เสื่อมคลาย
                ขบวนการของการเคลื่อนไหวพระพุทธศาสนามหายานก็เป็นเช่นเดียวกัน  ความต้องการไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้าดับสูญมีกำลังแรงมาก  แรงจนกระทั่งแม้เมื่อก่อนที่จะแตกแยกออกเป็นมหายาน  ผู้รู้ในทางพระพุทธศาสนา  ก็ต้องคิดหาวิธีการที่จะทำความพอใจให้แก่คน  ลงท้ายก็ต้องสร้างลัทธิขึ้นมาว่า พระพุทธเจ้านั้นมิได้มีองค์เดียว  แต่ยังมีอีกหลายพระองค์ที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้า  จึงได้เกิดมีพระพุทธเจ้าในอนาคตขึ้น  พระพุทธศาสนาได้ดัดแปลงอนุโลมตามความต้องการของประชาชนด้วยการคิดเรื่องราว ในพระพุทธศาสนาว่าจะมีสิ่งใดที่พอจะแก้ไขได้ เพื่อสนองความเชื่อถือดังกล่าว มหายานได้คิดหลัก
                “โพธิจิต”  ขึ้น คือ  การที่คนเราจะมุ่งไปสู่พุทธภูมิได้นั้น  จำต้องบำเพ็ญพระโพธิญาณ  คือ  การกระทำตัวให้เป็นโพธิสัตว์  ซึ่งเป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์  และสิ่งจำเป็นที่สุดที่พระโพธิสัตว์ต้องปฏิบัติก็ได้แก่ความเมตตากรุณาในการ โปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์  พระโพธิสัตว์จึงต้องสะสมบารมีต่าง ๆ ในแต่ละชาติเพื่อมุ่งหวังพุทธภูมิเป็นจุดหมายปลายทาง
                ฉะนั้น  เมื่อบุคคลใดเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ  แทนที่จะกราบอ้อนวอนพระเจ้าของศาสนาพราหมณ์ให้ช่วย ก็เปลี่ยนมาเป็นบูชาขอให้พระโพธิสัตว์ช่วย เนื่องจากพระโพธิสัตว์ประกอบด้วยมหากรุณาอันไม่มีที่สิ้นสุด
                ๓.๑   การเน้นหนักเกี่ยวกับปรัชญา และมหากรุณาของโพธิสัตว์
                มหายานนั้น มีปรัชญาชีวิตในการช่วยขนสัตว์โลกให้ข้ามพ้นสังสารทุกข์  โดยยึดหลักประจำใจอย่างสูงส่งอยู่  ๓  ประการ  คือ
                ๐.  หลักมหาปัญญา  ในหลักการข้อนี้ ฝ่ายมหายานได้อธิบายหลักอนัตตาซึ่งเป็นคุณลักษณะพิเศษในพุทธศาสนาออกไป อย่างกว้างขวางลึกซึ่งมากพิสดารยิ่งกว่าในฝ่ายเถรวาทมหายาน  เรียกว่า  ศูนย์ตา   แทนคำว่า  อนัตตา  ในส่วนปฎิบัติของบุคคลทางฝ่ายมหายาน  ถือว่าบุคคลจะพ้นทุกข์ได้  ก็ด้วยการเข้าถึงศูนย์ตา  ซึ่งมี  ๒ ชั้น  คือ  บุคคลศูนยตาและธรรมศูนยตา  บุคคล  ศูนยตาได้แก่การละอัสมิมานะซึ่งทำให้บุคคลบรรลุอรหันต์  ส่วนธรรมศูนยตา   ได้แก่การละ  ความยึดถือแม้ในพระนิพพานซึ่งเป็นภูมิของพระโพธิสัตว์ชั้นสูง
                   ๒.    หลักมหากรุณา   ได้แก่การ   ตั้งโพธิจิตมุ่งพุทธภูมิ   ไม่มุ่งเพียงอรหันต์ภูมิในทัศนะมหายานเห็นว่าอรหันต์ภูมิช่วยตนได้น้อย   เพราะฉะนั้นจึงควรมุ่งพุทธภูมซึ่งในขณะที่ยังมิได้บรรลุต้องสร้างบารมีเพื่อ ช่วยสัตว์  ดังนั้น  ทางฝ่ายมหายานจึงย่อทศบารมีลงเหลือ  ๖  คือ
                   ๒.๐   ทานปารมิตา  พระโพธิสัตว์จะต้องสละทรัพย์   อวัยวะและชีวิต    เพื่อสัตว์โลกได้โดยไม่อาลัย
        ๒.๒   ศีลปารมิตา  พระโพธิสัตว์ต้องรักษาศีลอันประกอบ  ด้วยอินทรีย์สังวรศีล  กุศลสังคหศีล  ข้อ  นี้ได้แก่การทำความดีสงเคราะห์สัตว์ทุกกรณี  สัตว์สังคหศีลคือการช่วยให้พ้นทุกข์
                        ๒.๓  กษานติปารมิตา  พระโพธิสัตว์ต้องสามารถถอดทนต่อสิ่งกดดันเพื่อนโปรดสัตว์ได้
                        ๒.๔  วิริยปารมิตา  พระโพธิสัตว์ไม่ย่อท้อต่อพุทธภูมิ  ไม่รู้สึกเหนื่อย  หน่ายระอาในการช่วยสัตว์
                        ๒.๕  ปรัชญาปารมิตา  พระโพธิสัตว์จะต้องทำให้แจ้งในปุคคลศูนยตาและ ธรรมศูนยตา
                ๓.  หลักมหาอุปาย  คือ พระโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยกุศโลบายนานัปการ  ในการช่วยเหลือ ปวงสัตว์ ต้องประกอบด้วยไหวพริบปฏิภาณในการเข้าถึงอธิมุตติของปวงสัตว์เปรียบเหมือน นายแพทย์ผู้ฉลาดรู้จักวางยาให้ถูกโรคอาศั

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น